สยามนาวา - วัฒนธรรมแห่งสายน้ำ เรือยาวประเพณีไทย
มิ.ย. 08, 2023, 12:40:09 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:  
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ** "แข่งเรือ สีสัน และ ลีลา แห่งชีวิตบนผืนน้ำ", ตรีมุข **  (อ่าน 3679 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สยามนาวา
Administrator
แฟนคลับ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 173

ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี


เว็บไซต์
« เมื่อ: พ.ค. 28, 2009, 07:22:21 »

บทความ โดย จงกลนี อนะมาน.


อ้างถึง
คนไทยมีความผูกพันกับสายน้ำมาเป็นระยะเวลานานแสนนาน เพราะส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามราบลุ่มน้ำในสังคมเกษตรกรรม อาจกล่าวได้ว่าสายน้ำเปรียบเสมือนสายชีวิต สายโลหิตที่อาศัยดื่มกินและหล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ธัญญาหาร

ประเพณีอันสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยที่เกี่ยวพันกับน้ำ  ประเพณีหนึ่งก็คือ ?การแข่งเรือยาว? ซึ่งมีสืบทอดกันมาตั่งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

?หน้าน้ำ? เป็นภาษาพื้นฐานของภาคกลางที่ใช้เรียกระยะเวลาระหว่างเดือนแปดถึงเดือนสิบ สองซึ่งเป็นระยะเวลาที่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเอ่อสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ประมาณเดือนแปด และพอถึงเดือนสิบเอ็ดหรือเดือนสิบสองนี้จะเอ่อขึ้นท่วมล้นตลิ่ง จนทุกแห่งเจิ่งนองไปด้วยน้ำ

และ ?หน้าน้ำ? นี่เองเป็นที่มาของการจัดเทศกาลงานประเพณีการแข่งเรือยาว ที่เป็นฤดูกาลที่ชาวบ้านว่างเว้นจากการทำไร่ทำนา มักจะหางานอดิเรกทำกัน ชาวบ้านจึงได้รวมตัวกันจัดงานประเพณีการแข่งเรือยาวขึ้น เพื่อสร้างความสนุกสนาน

การแข่งเรือเป็นการละเล่นเพื่อให้ความสนุกสนานรื่นเริง เป็นการละเล่นที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนบท  ประเพณีการแข่งเรือยาวจึงได้รับความนิยมมาช้านานนับศตวรรษ  และในปัจจุบันก็ยังคงมีการจัดอยู่ทุกปี  ตามวัดในต่างจังหวัด  ริมน้ำเจ้าพระยาภาคกลาง  เช่น  อยุธยา  อ่างทอง  สิงห์บุรี

ประเพณีการแข่งเรือเชื่อว่ามีมาตั้งแต่สุโขทัย  เพราะมีการกล่าวถึงไว้ในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ถึงประเพณีการแข่งเรือหลวงที่เรียกว่าอาศยุช  ในสมัยอยุธยาเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ กวีแห่งกรุงศรีอยุธยา  กล่าวงถึงในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกตอนหนึ่งว่า

?เดือนสิบเบ็ดเสร็จสำแดง

เรื่อกิ่งแข่งตามพิธี

พายงามตามชลธี

พี่แลเจ้าเปล่าเป็นดาย?


และ จากคำให้การของชาวกรุงเก่ากล่าวถึงการแข่งเรือในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่าเป็น พระราชพิธีเดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง หรือพระราชพิธีอาศยุชคือการแข่งเรือของพระเจ้าแผ่นดินว่า

?พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาทรงเรือพระที่นั่งกิ่งลำหนึ่ง พระอัครมเหสีทรงลำหนึ่ง แข่งเรือกันแล้วโปรดให้เสนาอำมาตย์ทั้งหลายแข่งเรือกันโดยลำดับ พระราชพิธีนี้ทำกันเมื่อขึ้น 14 ค่ำ จนแรม 3 ค่ำ รวม 3 วัน พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจะทรงเครื่องขาวพระมหามงกุฎทำด้วยเงินเวลากลางคืนพระ เจ้ากรุงศรีอยุธยาจะเสด็จลงลอยพระประทีปอุทิศถวายพระพุทธเจ้า  แล้วเสด็จลงเรือพระที่นั่งประทับยืนไปพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์  อันประดับด้วยประทีปเสด็จรอบพระนคร มีการเลี้ยงลูกขุนและข้าราการทั้งปวง เสด็จไปพระราชทาน  พระกฐินตามพระอารามในกรุง?

การพระราชพิธีอาศ-ยุชนั้นเป็นการเสี่ยงทายสำหรับพระมหานครโดยปรากฏในกฎ มณเฑียรบาลว่าเรือที่พระมหากษัตริย์จะลงคือเรือสมรรถชัยและเรือมเหสีคือเรือ ไกรสรมุข  และมีคำเสี่ยงทายว่า  ถ้าเรือสมรรถชัยแพ้  ?ข้าวเหลือกินอิ่ม  สุขเกษมเปรมประชา? ถ้าเรือสมรรถชัยชนะจะมียุคเข็ญ

การแข่งเรือเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเมื่อล่วงมาจนถึงสมัยกรุง-รัตนโกสินทร์  ปัจจุบันการแข่งเรือ  การเล่นเรือเพลงของชาวบ้านก็ยังคงมีเล่นกันอยู่ในเทศกาล-ไหว้พระ หรืองานปิดทองพระของวัดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ

ประเพณีการแข่งเรือเป็นการละเล่นในฤดูน้ำหลากที่ชาวบ้านว่างเว้นจากงานประจำ พอใกล้เดือน 11  ชายหนุ่มในละแวกบ้านที่วัดประจำหมู่บ้านของตนมีเรือแข่งก็จะดูคึกคักเป็นพิเศษ  ใน ตอนบ่ายจะได้ยินเสียงกลองรัวดังก้องไปตามคุ้งน้ำเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้รู้ ว่าถึงเวลาฝีพายประจำเรือของวัดประจำหมู่บ้านจะต้องร่วมชุมนุมกันเพื่อซ้อม พายไว้แข่งกับเรือของวัดในหมู่บ้านอื่นในเทศกาลที่กำลังจะมาถึง  เรือแข่งของวัดแต่ละหมู่บ้านถือเป็นศักดิ์ศรีของวัดของหมู่บ้าน ฉะนั้น ?เรือแข่ง? หรือที่เรียกกันว่า ?เรือยาว? ของแต่ละวัดจะได้รัยการบำรุงรักษาตกแต่งให้งดงามและอยู่ในสภาพที่พร้อมจะแข่งขันได้เสมอ

เมื่อวันแข่งเรือมาถึง  ส่วนหัวเรือและทายเรือจะประดับประดาด้วยผ้าแพร  ผ้าสี  ช่อดอกไม้  พวงมาลัย  ซึ่งจะมีทั้งดอกไม่สดและดอกไม่เทียม  ตลอดจนธูป  เครื่องเซ่นบูชาแม่ยานางประจำเรือ  ก่อนที่จะเอาเรือลงจากคานเรือบนวัดลงสู่แม่น้ำ  จะต้องมีการบอกกล่าวเซ่นไหว้กันตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยขาดหายไปจากคนไทย ผู้กระทำพิธีต่าง ๆ  ของเรือยาวแต่ละวัด  ส่วนมากเป็นหัวหน้าผู้ควยคุมเรือซึ่งถือว่าเป็นคนสำคัญของเรือคือเป็นผู้บอกจังหวะการพายการจ้ำของฝีพายทั้งในเวลาซ้อมและเวลาแข่งขัน  ที่ให้จังหวะหรือที่เรียกกันว่า ?คนบอกยาว? จะเป็นผู้นั่ง ๆ ยืน ๆ อยู่ที่หัวสุดขอบเรือหันหน้าหาฝีพาย คือหันหน้าไปทางเรืออาจจะถือพาย หรือเป่านกหวีดคอยให้ฝีพายรู้ว่าเวลาใดควรจะเร่งฝีพายหรือพายช้าหรือเร็ว เพียงใด เพื่อให้เกิดความพร้อมเพียง

            ก่อนที่จะถึงเวลาแข่งขัน  หน้าวัดจะแออัดไปด้วยเรือแพและผู้คน  เรือยาวจากถิ่นต่าง ๆ จะพายขึ้นล่องพร้อมกันกับร้องเพลงเห่กันไปมา  เพื่อเป็นการแสดงตัวหรือโชว์ตัวของเรือยาว  การพายโชว์ฝีพายจะได้รับการฝึกสอนและซ้อมการพายให้งดงามด้วยการพายในลักษณะต่าง ๆ กัน

            การจับ คู่เรือแข่งหรือเรือยาวจะใช้การเปรียบเทียบ โดยใช้ขนาดของเรือและจำนวนของฝีพายเป็นเกณฑ์ อย่างไรก็ตามการแข่งเรือนี้นอกจะมีการแข่งเรือยาวซึ่งถือว่าเป็นเรือแข่ง หลักของงานแล้ว ในบางแห่งจะมีการแข่งเรือพายประเภทต่าง ๆ และประกวดการตกแต่งเรือ  ทั้งสวยงามและประเภทตลกขบขัน  เพื่อเป็นเรือประกอบช่วยให้เกิดความสนุกสนานรื่นเริงพร้อมเพียงกันไปด้วย

            จะเห็นได้ว่าการแข่งเรือเป็นการละเล่นของชาวบ้าน  ที่ต้องอาศัยทั้งความสามัคคีและความร่วมแรงร่วมใจ  ตลอดจนถึงความชำนาญ  ไหวพริบประกอบกันไป  แต่ การแข่งเรือยาวของชาวบ้านทั่วไปแม้จะถือว่าเป็นเรื่องที่ทำกันอย่างจริงจัง ก็ตามแต่เมือมีฝ่ายแพ้และฝ่ายชนะต่างก็ยอมรับสภาพของตนเองอย่างนักกีฬาเพราะ รู้ดีว่าเป็นการแข่งขันเพื่อความสนุกสนานและความสามัคคีมากกว่าสิ่งอื่นใด

            เมื่อการแข่งเรือสิ้นสุดลงชาวบ้านที่มาเที่ยวดูเรือแข่ง  โดยการพายเรือของตนเองมากันเป็นหมู่คณะ  ทั้งหนุ่มสาวคนแก่แม่ม่ายก็จะนำเรือมาเกาะกันเป็นหมู่  ปล่อยเรือลอยไปตามกระแสน้ำเพื่อกลับบ้าน  พวกหนุ่มสาวจะถือโอกาสเกี้ยวพาราสีกัน  โดยการร้องเล่นเพลงเรือ  บางลำก็จะมีพ่อเพลงแม่เพลง  เป็นผู้ร้องนำในทำนองพ่อสื่อ  แม่สื่อให้กับหนุ่มสาวของตน  ดั้งที่สุนทรภู่เขียนไว้ในนิราศภูเขาทองว่า

            ภายในกำแพงที่สูงตระหง่านเก่าคร่ำ

           ?มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม                      ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน

            บ้างขึ้นล่องร้องเล่นสำราญ                           ทั้งเพลงการเกี้ยวกันแซ่เซ้ง

            บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ                               ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง

            มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสามเพ็ง                   เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู

            ไอ้ลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมักมาก                    ชั่งยาวลากเลื่อยเจื้อยจนเหนื่อยหู

            ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู                      จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน?

            ในปัจจุบันภาวะทางสังคมและอิทธิพลทางวัฒนธรรมอื่น ๆ เข้ามามีสวนผลักดันให้วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไป  การแข่งเรือในงานประเพณีเดือนสิบเอ็ด  เดือนสิบสองซึ่งเป็นการละเล่นของไทยที่มีมาแต่โบราณและมีความประสานสัมพันธ์สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยในอดีต  เป็นประเพณีเป็นการแสดงออกถึงความสามารถทางศิลปวัฒนธรรมระดับชาวบ้านซึงนับวันจะสูญหายไปตามการเวลา

            การแข่งเรือในสมัยก่อน  แข่ง เพื่อความสนุกจริง ๆ ไม่มีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยวัดใดเป็นเจ้าภาพก็จะแบ่งหมู่บ้านของตนรับ ผิดชอบลูกเรือหมู่บ้านละ 1 ลำบ้าง 2 หมู่บ้านต่อเรือ 1 ลำบ้าง โดยทำข้าวห่อแจกกันไป  เรือที่ชนะในการแข่งขันก็จะได้รับรางวัลเพียงพาสีต่าง ๆ มาผูกที่หัวเรือของตนเท่านั้น  บางที่ก็จะได้ชะลอมจากวัดที่เป็นเจ้าภาพแจกให้  ในชะลอมนั้นก็จะมีผลไม้มาแบ่งกันกินเท่านั้นเอง

            แต่การแข่งเรือในปัจจุบันมีการพนันขันต่อเป็นเงินทองมาเป็นปัจจัยสำคัญ  การแข่งเรือในแต่ละปี หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่ามีเดิมพันเป็นล้านบาทก็มี  เรือของวัดใดชนะการแข่งขันบ่อย ๆ ก็จะมีค่าตัวเพิ่มขึ้นและได้ไปแข่งต่างจังหวัดบ่อย ๆ

            การแข่งเรือเพื่อความสนุกสนานเพื่อความสามัคคีที่มีอยู่ในอดีตจึงเริ่มเปลี่ยนแปลง  เพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาและยุคสมัย  และเมื่อการเปลี่ยนแปลงไป  เพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลายุคสมัย  และเมื่อการเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้านั้นมาถึง  ประเพณีการแข่งเรือก็คงเป็นเพียงเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเท่านั้น  เพราะประเพณีนี้ขาดผู้รู้คุณค่าและไม่สนใจที่จะบำรุงรักษาไว้  และในที่สุดก็คงจะสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย


ที่มา : จงกลนี อนะมาน.  (2536, พฤศจิกายน).  "แข่งเรือ สีสัน และ ลีลา แห่งชีวิตบนผืนน้ำ," ตรีมุข.  3(4) : 40-44.
บันทึกการเข้า
---*พระปรางค์*---
ต้นทุ่น
นายท้าย
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,570


...ร่วมบวงสรวงเชิญแม่ย่านาง ลงลำนาวา...


« ตอบ #1 เมื่อ: ก.ค. 05, 2009, 08:40:19 »


ชอบมาก ขอบคุณค่ะ

สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ความว่า

ในคำโคลงทวาทสมาสกล่าวถึงเดือน ๑๑ ว่า
 
มาสาเสาวเรขน้ำ นองใน
ฝั่งนธีธารถวิล แก่แก้ว
นาเวศประภาไสว ขับแข่ง กันนา
โอ้อนุชน้องแคล้ว คลาศภู
ไกรสรมุขมาศแต้ม ตรูตรัส
ศรีสมรรถไชยตรู เตรียบฟ้า
พ่ายคร่ำจำรัสแครง ใสสอง
หมึกสักหลังรั้งหน้า ฮึดฮือ 

เมื่อนำไปเรียบเคียงดูในช่วงปี ๒๕๐๒ ตรงกับรัฐบาลของจอมพลสสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ได้มีการสนับสุนนให้มีการื้อฟื้นราชประเพณีเห่เรือเสด็จพระราชดำเนินทอดกฐินในแม่น้ำเจ้าพระยา
จนกระทั้งในปี ๒๕๐๖ พันเอกถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ได้นำข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศบรรดาทูตานุทูตและท่านผู้มีเกียรติ
มาทอดกฐินที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรงกับวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๐๖ 
ในการนี้ได้มีการแข่งขันเรือและการเล่นเพลงเรือด้วย
ทำให้บรรยากาศในวันนั้นคล้าย ๆ กับบรรยากาศในอดีตกาลสมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีอยู่

ฉะนั้นท่ามกลางไอแดดอันร้อนระอุ ชาวพระนครศรีอยุธยาจาำกอำเภอต่าง ๆ
และประชาชนในจังหวัดที่ใกล้เคียงจำนวนเรือนหมื่นได้ให้การสนใจกับการแข่งเรือ การเล่นเพลงเรือเป็นอย่างมาก

บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.16 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!